เมื่อเย็นของวันที่ 25 กรกฏาคม ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม
ท้องฟ้ายามโพล้เพล้เย็นวันนี้ เกิดมีสีเหลืองประหลาดตา
เป็นเหลืองสลับส้ม คล้ายที่ชาวบ้านเรียก " อุกาฟ้าเหลือง "
คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าท้องฟ้ากลายเป็นสีเหลืองเข้มออกแดง
แบบที่เรียกว่า อุกาฟ้าเหลือง จะเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติในเร็ววัน
ชาวทะเลจะไม่มีวันยอมออกเรือเลย เพราะกลัวพายุใหญ่และมรสุม
แต่ ที่เกิดที่นครพนมในวันนี้ ยังไม่แดงมาก ก็น่าจะไม่มีอะไร
ถึงจะใกล้ค่ำแล้ว ท้องฟ้าก็ยังเหลืองสว่าง
ชาวทะเล ที่ใช้การสังเกต " อุกาฟ้าเหลือง " เป็นหลักในการออกเรือ
โดยเฉพาะในเรื่อง พายุฝน โดยสังเกตว่า เกิดสภาพนี้ขึ้นในเวลาใด
เกิดในตอนเช้า หรือ ในตอนหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
ถ้าท้องฟ้ามีสีแดงส้มในเวลาเช้า หรือ หลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
ก็จะไม่ออกเรือ เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่าจะมีพายุและลมแรง
แต่ถ้าท้องฟ้ามีสีส้มแดงในช่วงโพล้เพล้ ระหว่างพระอาทิตย์ตกดิน
แสดงว่ารุ่งขึ้นอากาศจะดี

ท้องฟ้าในยามพลบที่มีสีเหลือง สลับกับ ส้ม ดูแปลกตา ชอบกล

สามแยกถนนลูกเสือ



อาคารต่างๆ ก็มีสีเหลือง คล้ายกับว่า ท้องฟ้าได้อาบสีไปทั้งเมืองแล้ว




บ้านพักผู้พิพากษา ถนนสุนทรวิจิตร
ถนนสุนทรวิจิตร หรือ ถนนริมโขง แห่งเมืองนครพนม
อุกาฟ้าเหลือง เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง
จะเกิดเมื่อมีพายุฝนฟ้าคะนอง ในเวลานั้นท้องฟ้าจะมีเมฆชั้นต่ำมาก
เมฆชั้นต่ำจะมีไอน้ำมาเกาะอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เกิดความชื้นสูง
เมื่อ พระอาทิตย์ส่องแสงกระทบละอองไอน้ำเหล่านี้มาสู่ตาเรา
ละอองน้ำจะหักเหแสงสีแดง สู่ระบบการมองเห็นของเรา
ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงส้ม อุกาฟ้าเหลืองที่แท้จึง
ไม่ใช่สีเหลืองอย่างเดียว แต่จะเป็นสีแดงอมส้มมากกว่า
ลานตะวันเบิกฟ้า ริมแม่น้ำโขง
โดย เทศบาลเมืองนครพนม
ถึงจะค่ำแล้ว ท้องฟ้ายังมีสีเหลืองประหลาดอยู่
ศิลปิน กำลังจินตนาการผลงานของเธอ อยู่ริมโขง
ลานตะวันเบิกฟ้า
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
สักพัก ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม และลมเริ่มพัดแรงขึ้น
ฟ้าแลบ แปรบปราบ เป็นสัญญานว่า ฟ้าฝน กำลังจะมา
ป้าย " ลานตะวันเบิกฟ้า " ลอยเด่น ในคืนฟ้าคะนอง
ถนนสุนทรวิจิตร ในคืนที่พายุฝนกำลังจะมาเยือนเมืองนครพนม
ปรากฏการ " อุกาฟ้าเหลือง " ที่เกิดในวันนี้
กับหนังไทยของท่านมุ้ย " อุกาฟ้าเหลือง " เมื่อ 30 ปีก่อน
คือ คำเตือนจากธรรมชาติ ที่มนุษย์ต้องเคารพเชื่อฟัง
เป็นการแสดงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ไม่มีวันที่ใครจะเอาชนะได้
ทุกคน ต้องเรียนรู้การอยู่กับธรรมชาติ อย่างสมดุล ไม่คิดทำลาย
เพราะ เมื่อไหร่ความสมดุลไม่มี " หายนะ " ต่อมนุษย์ชาติ ก็จะตามมา